กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
ผู้แต่ง พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
ลักษณะคำประพันธ์กลอนดอกสร้อย
ที่มาของเรื่องกวีนิพนธ์เรื่อง Elegy Written in a Country Churchyardของ ทอมัส เกรย์(Thomas gray) กวีที่มีชื่อเสียง มีชีวิตอยู่ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘
ประวัติผู้แต่ง
พระยาอุปกิตศิลปะสาร (นิ่ม กาญจนชีวะ) เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๒๒ ศึกษาพระธรรมวินัยจนสอบได้เปรียญ ๖ ประโยค พ.ศ.๒๔๔๓ ได้เข้าสอบไล่วิชาครูในโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์สายวลีสัณฐาคารและได้สอนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ภายหลังเข้ารับราชการในกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) พนักงานกรมราชบัณฑิตย์ ปลัดกรมตำราหัวหน้าการพิมพ์แบบเรียนกรมวิชาการ หัวหน้าแผนกอภิธานสยาม ได้เลื่อนยศจนเป็นอำมาตย์เอกพระยาอุปกิตศิลปสาร และ เป็นอาจารย์พิเศษคณะอัษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านเป็นผู้เสนอให้ใช้คำว่า “สวัสดี” ในการทักทายกัน
นามแฝง ในการเขียนบทความ ได้แก่ อ.น.ก. อนึกคำชูชีพ อุนิกา สามเณรนิ่ม พระมหานิ่ม ม.ห.ม.
ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๘๔ และมอบศพให้แก่การศึกษาวิชาแพทย์นับว่าท่านเป็นครูอย่างแท้จริง
ผลงาน
- สยามไวยากรณ์ (ตำราไวยากรณ์ ๔ เล่ม ได้แก่ อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์
- สงครามภารตคำกลอน
- ชุมนุมนิพนธ์ อ.น.ก.
- คำประพันธ์บางเรื่อง
- คำประพันธ์โคลงสลับกาพย์
- บทความและปาฐกถาต่างๆ เกี่ยวกับวรรณคดีและการใช้ภาษา
คุณค่าของคำประพันธ์
- รูปแบบ(ฉันทลักษณ์) เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหา เพราะกลอนดอกสร้อยจดจำได้ง่าย และ มีคติสอนใจ
- การใช้ภาษา ใช้คำสั้น กะทัดรัด เข้าใจง่าย สื่อความหมายชัดเจน
- มีสัมผัสงดงามไพเราะ ใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ (สัทพจน์) และเล่นคำ เล่นเสียงสัมผัสสระสัมผัสอักษร
จุดประสงค์ของการแต่ง
- ชี้ให้เห็นความเป็นอนิจจังของชีวิตสอดคล้องกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต
- คุณค่าด้านเนื้อหาอยู่ที่การมุ่งแสดงความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ว่า “ไม่มีผู้ใดหลีกหนีความตายได้”
- แสดงความรู้สึกยกย่องชีวิตอันสงบ เรียบง่ายและความสุขอันเกิดจากความสันโดษ เป็นการให้คติธรรมอันทรงคุณค่าแก่การดำเนินชีวิต
เนื้อเรื่องย่อ
กถามุข
ดังได้ยินมา สมัยหนึ่ง ผู้มีชื่อต้องการความวิเวก, เข้าไปนั่งอยู่ ณ ที่สงัด ในวัดชนบท เวลาตะวันรอนๆ, จนเสียงระฆังย่ำบอกสิ้นเวลาวัน ฝูงโคกระบือ และ พวกชาวนาพากันกลับที่อยู่เป็นหมู่ๆ. เมื่อสิ้นแสงตะวันแล้ว ได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีดเรไรกับเสียงเกราะในคอกสัตว์. นกแสกจับอยู่บนหอระฆังก็ร้องส่งสำเนียง. ณ ที่นั้นมีต้นไทรต้นโพธิ์สูงใหญ่ ใต้ต้นล้วนมีเนินหญ้า กล่าวคือที่ฝังศพต่างๆ อันแลเห็นด้วยเดือนฉาย. ศพในที่เช่นนั้นก็เป็นศพชาวไร่ชาวนานั่นเอง. ผู้นั้นมีความรู้รู้สึกเยือเย็น แล้วรำพึงในหมู่ศพ จึงเขียนความในใจออกมากันดังนี้
๑ วังเอ๋ยวังเวงหง่างเหง่ง! ย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาลค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑลและทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียวเอย
ถอดคำประพันธ์
เสียงระฆังตีย่ำดังหง่างเหง่ง มาทำให้เกิดความวังเวงใจยิ่งนัก ในขณะที่ฝูงควายก็เคลื่อนจากท้องทุ่งลาเวลากลางวันเพื่อมุ่งกลับยังถิ่นที่อยู่ของมัน ฝ่ายพวกชาวนาทั้งหลายรู้สึกเหนื่อยอ่อนจากการทำงานต่างก็พากันกลับถิ่นพำนักของตนเมื่อตะวันลับขอบฟ้าก็ไม่มีแสงสว่าง ทำให้ท้องทุ่งมืดไปทั่วบริเวณและทิ้งให้ข้าพเจ้าเปล่าเปลี่ยวอยู่แต่เพียงผู้เดียว
๒ ยามเอ๋ยยามนี้ปถพีมืดมัวทั่วสถาน
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาลสงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง
มีก็แต่จังหรีดกระกรีดกริ่ง! เรไรหริ่ง! ร้องขรมระงมเสียง
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะเปาะ! เพียงรู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่วเอย
ถอดคำประพันธ์
ยามนี้แผ่นดินมืดไปทั่ว อากาศเย็นยะเยือกหนาว เพราะเป็นเวลากลางคืน และป่าใหญ่แห่งนี้ก็เงียบสงัด มีแต่จิ้งหรีดและเรไรร้องกันเซ็งแซ่ไปหมด เจ้าของคอกวัวควายต่างก็รัวเกราะกันเป็นเสียงเปราะๆ ทำให้รู้ว่าเป็นเสียงเกราะดังแว่วมาแต่ไกล
๓นกเอ๋ยนกแสกจับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอกหอระฆังบังแสงจันทร์มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดูคนมาสู่ซ่องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมาให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมันเอย
ถอดคำประพันธ์
นกแสร้องแจ๊ก ๆ เพื่อทำให้เสียขวัญ มันจับอยู่บนหอระฆังที่มีเถาวัลย์พันรุงรังถึงหลังคาและบังแสงจันทร์อยู่ เหมือนมันจะฟ้องดวงจันทร์ว่าให้หันมาดูผู้คนที่มาสู่ที่อยู่มันรักษาไว้ ซึ่งถือเป็นส่วนที่เฉพาะส่วนตัวมานาน ทำให้มันไม่มีความสุข
๔ ต้นเอ๋ยต้นไทรสูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
และต้นโพธิ์พุ่มแจ้แผ่ฉายามีเนินหญ้าใต้ต้นเกลื่อนกล่นไป
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้ดุษณีนอนราย ณ ภายใต้
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจเรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวันเอย
ถอดคำประพันธ์
มีต้นไม้สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้าและต้นโพธิ์ที่เป็นพุ่มแผ่ร่มเงาออกไปโดยรอบ ที่ใต้ต้นไม้มีเนินหญ้าเป็นที่ฝังศพคนในระแวกแถวนี้ ซึ่งนอนนิ่งอยู่เกลื่อนไปหมดในหลุมลึก ดูแล้วน่าสลดใจอย่างยิ่งนัก และตัวของข้าพเจ้าเองก็ใกล้หลุมนี้เข้าไปทุกวัน
๕หมดเอ๋ยหมดห่วงหมดดวงวิญญาณลาญสลาย
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบายเตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้นทั้งไก่ขันแข่งดุเหว่าระเร้าเสียง
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียงพ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุกเอย
ถอดคำประพันธ์
หมดห่วงเนื่องจากดวงวิญญาณได้แตกสลายไปแล้วถึงแม้ว่าลมยามเช้าจะชายพัดให้สดชิ้น เป็นการเตือนนกแอ่นลมให้เคลื่อนออกจากที่แผดร้องไปตามโรงนาทั้งไก่ก็ขันแข่งกับนกดุเหว่า เหมือนจะช่วยกันปลุกร่างของผู้นอนรายเรียงที่อยู่ให้หลุมฝังศพให้ตื่นขึ้นแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ยินเสียงปลุกเสียแล้ว
๖ ทอดเอ๋ยทอดทิ้งยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า
ทิ้งเพื่อยากแม่เหย้าหาข้าวปลาทุกเวลาเช้าเย็นเป็นนิรันดร์
ทิ้งทั้งหนูน้อยน้อยร่อยร่อยรัยเห็นพ่อกลับปลื้มเปรมเกษมสันต์
เข้ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณสารพันทอดทิ้งทุกสิ่งเอย
ถอดคำประพันธ์
ยามหนาวเคยนั่งผึงไฟอยู่พร้อมหน้า แต่ก็ต้องมาทิ้งเพื่อนยากทิ้งแม่เรือนที่คอยหุงข้าวหาอาหารให้รับประทานทุกเช้าเย็น ทิ้งทั้งลูกน้อยที่พอเห็นหน้าพ่อก็ดีใจกอดคอฉอเลาะ นั้นคือต้องทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างแน่นอน
๗ กองเอ๋ยกองข้าวกองสูงราวโรงนายิ่งน่าใคร่
เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวใครใครเล่าไถคราดฟื้นพื้นแผ่นดิน
เช้าก็ขับโคกระบือถือคันไถสำราญใจตามเขตประเทศถิ่น
ยึดหางยามยักไปตามใจจินต์หางยามผินตามใจเพราะใครเอย
ถอดคำประพันธ์
เห็นกองข้าวสูงราวกับโรงนา ช่างน่ายินดีนัก กองข้าวนี้เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวของใคร หรือใครเป็นคนไถคราดพลิกฟื้นแผ่นดินนี้ขึ้นมา เช้าก็ถือคันไถพร้อมกับไล่ควายอย่างสบายใจอยู่ท้องนา โดยจับหางไถไถนาตามใจของจน หางไถหันไปในทิศทางต่าง ๆ เพราะใครเล่า
๘ ตัวเอ๋ยตัวทะยานอย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน
ดูถูกกิจชาวนาสารพันและความครอบครองกันอันชื่นบาน
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัดมีปวัตน์เป็นไปไม่วิตถาร
ขออย่าได้เย้ยเยาะพูดเราะรานดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตูเอย
ถอดคำประพันธ์
ตัวทะเยอะทะยานเอ๋ย ขออย่าดลบันดาลใจให้มีการดูถูกการกระทำต่าง ๆ ขอชาวนาและความเป็นอยู่อันชื่นบานของขา เขาอยู่กันอย่างมีความสุขอย่างเรียบง่าย โดยมีความเป็นไปไม่เกินวิสัยปรกติของมนุษย์ ขอจงอย่าอย่าไปพูดจาเยาะเย้ยหรือดูหมิ่นการเป็นของเขาเลย
๙สกุลเอ๋ยสกุลสูงชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์ความงามนำให้มีไมตรีกัน
ความร่ำรวยอวยสุขให้ทุกอย่างเหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้นแต่ล้วนผันมาประจบหลุมศพเอย
ถอดคำประพันธ์
คนมีชาติตระกูลสูง ทำให้จิตใจของจนพองโตขึ้นโดยคิดว่าตนมีศักดิ์ศรีเหนือคนอื่น คนมีอำนาจนำความสง่างามมาให้แก่ชีวิต คนมีหน้าตางดงามทำให้คนอื่นรักใคร่คนมีฐานะร่ำรวยย่อมหาความสุขได้ทุกอย่าง แต่ทุกคนต่างก็รอความแตกดับของร่างกายโดยกันทั้งนั้น วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมด ล้วนมารวมกันที่หลุมฝังศพ
๑๐ตัวเอ๋ยตัวหยิ่งเจ้าอย่าชิงติซากว่ายากไร้
เห็นจมดินน่าสลดระทดใจที่ระลึกสิ่งไรก็ไม่มี
ไม่เหมือนอย่างบางศพญาติตบแต่งเครื่องแสดงเกียรติเลิศประเสริฐศรี
สร้างสถานการบุญหนุนพลีเป็นอนุสาวรีย์สง่าเอย
ถอดคำประพันธ์
ผู้เย่อหยิ่งทั้งหลายเอ๋ย ขออย่าชิงติซากศพผู้ยากไร้เหล่านี้เลยแม้เห็นจมดินหน้าสลดใจที่ระลึกอะไรซักอย่างก็ไม่มีก็ตามทีเถิด ไม่เหมือนอย่างบ้างศพที่ญาติตบแต่งด้วยเครื่องแสดงเกียรติยศอย่างดี โดยมีการสร้างอนุสาวรีย์อันสง่างามเพื่อเป็นสถานที่บวงสรวงบูชา
๑๑ที่เอ๋ยที่ระลึกถึงอธึกงามลบในภพพื้น
ก็ไม่ชวนชีพดับให้กลับคืนเสียงชมชื่นเชิดชูคุณผู้ตาย
เสียงประกาศเกียรติเอิกเกริกกลั่นจะกระเทือนถึงกรรณนั้นอย่าหมาย
ล้วนเป็นคุณแก่ผู้ยังไม่วางวายชูเกียรติญาติไปภายภาคหน้าเอย
ถอดคำประพันธ์
ที่ระลึกสร้างขึ้น ถึงแม้จะงามเลิศสักเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ผู้ตายฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ เสียงชื่นชมเชิดชูในคุณธรรมดีของผู้ตาย รวมทั้งเสียงชื่นชมในคุณงามความดีของผู้ตายรวมทั้งเสียงประกาศถึงเกียรติยศของผู้ตายอย่างแพร่หลายรู้กันทั่วไปจะไปเข้าหูผู้ตายนั้นก็หาไม่ ทุกอย่างล้วนเป็นคุณแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นการเชิดชูเกียรติยศของญาติพี่น้องที่มีชีวิตอยู่ต่อไป
๑๒ร่างเอ๋ยร่างกายยามตายจมพื้นดาษดื่นหลาม
อย่าดูถูกถิ่นนี้ว่าที่ทรามอาจขึ้นชื่อลือนามในก่อนไกล
อาจจะเป็นเจดีย์มีพระศพแห่งจอมภพจักรพรรดิกษัตริย์ใหญ่
ประเสริฐด้วยสัตตรัตน์จรัสชัยณ สมัยก่อนกาลบุราณเอย
ถอดคำประพันธ์
ร่างกายของคนทั้งหลายเมื่อตายจะจมพื้นดินอยู่เต็มไปหมด ขอจงอย่าดูถูกถิ่นนี้ว่าไม่ดี เพราะอาจเป็นถิ่นที่มีชื่อเสียงมาในสมัยก่อนได้ คือ เป็นสถานที่ก่อสร้างพระเจดีย์บรรจุพระศพของพระมหากษัตริย์ อันประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการของจักรรดิ ในสมัยโบราณนานมาแล้ว
๑๓ ความเอ๋ยความรู้เป็นเครื่องชูชี้ทางสว่างไสว
หมดโอกาสที่จะชี้ต่อนี้ไปละห่วงใยอยากรู้ลงสู่ดิน
อันความยากหากให้ไร้ศึกษาย่นปัญญาความรู้อยู่แค่ถิ่น
หมดทุกข์ขลุกแต่กิจคิดหากินกระแสวิญญาณงันเพียงนั้นเอย
ถอดคำประพันธ์
ความรู้เป็นเครื่องชี้นำทางไปสู่ความก้าวหน้าแต่ตอนนี้หมดโอกาสที่จะชี้นำทางต่อไปแล้ว จำต้องละความห่วงใยทั้งหมดลงไปสู่ความตาย อันความยากจนทำให้ไม่ได้รับการศึกษา ได้รับวิชาความรู้อยู่เฉพาะในท้องถิ่นของตน ตอนนี้หมดทุกข์หมดทุกข์ที่จะขลุกอยู่แต่ในการทำมาหากินเสียที เพราะวิญญาณของเราคงจะหยุดเพียงเท่านี้